เปิดตำนาน “พญานาค 7 เศียร” แห่งวัดบ้านไร่ ชาวบ้านร่ำลือสิ่งอัศจรรย์

--Advertisement--

“วัดบ้านไร่” เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งใน ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เดิมเป็นสำนักสงฆ์เล็กๆ ที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2436 ในช่วงรัชกาลที่ 5 โดยมี พระอาจารย์เชื่อม วิรโช เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ได้มีการก่อสร้างศาสนอาคารต่างๆ ขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เป็นเจ้าอาวาสวัด ได้มีการพัฒนาวัดมากที่สุด ด้วยมีผู้ศรัทธาจากทั่วประเทศได้ร่วมถวายวัตถุปัจจัยเป็นเงินมหาศา

โดยหลวงพ่อคูณ ได้เริ่มสร้างอุโบสถขึ้นมา โดยมีชาวบ้านช่วยกันเข้าป่าตัดไม้ ซึ่งในสมัยก่อนมีอยู่มาก การตัดไม้ในสมัยนั้นไม่ค่อยสะดวกนัก ไม่มีเครื่องจักร ไม่มีถนน กว่าจะได้ไม้ที่เลื่อยแปรสภาพสำเร็จต้องเผชิญต่อการขนย้ายที่ยากลำบาก อาศัยโคเทียมเกวียน หรือใช้แรงงานคนลากจูงบนทางที่แสนทุรกันดาร แต่หลวงพ่อคูณ ก็สามารถนำชาวบ้านช่วยกันสร้างอุโบสถจนสำเร็จ (ปัจจุบันได้รื้อลงแล้ว และก่อสร้างหลังใหม่แทน)

นอกจากการก่อสร้างอุโบสถแล้ว หลวงพ่อคูณ ยังสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่ออุปโภคบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย จนปัจจุบันวัดบ้านไร่ได้มีการพัฒนา และมีผู้ใฝ่บุญจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาแสวงบุญกันไม่ขาดสาย
วัดบ้านไร่ มีชื่อเสียงเนื่องจากมีหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เป็นเจ้าอาวาสกับภาพที่เห็นกันชินตา พระเกจิอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่งถือกิ่งไม้ขนาดเล็กๆ ในมือเดินเคาะศีรษะลูกศิษย์ลูกหาที่เลื่อมใสศรัทธา

ไม่เว้นแม้แต่นักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ก็ต้องมาให้ท่านเคาะหัวให้เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นที่เคารพศรัทธาของคนทั้งประเทศ จึงทำให้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป โดยในแต่ละวันจะมีผู้คนจากทุกสารทิศเดินทางมานมัสการหลวงพ่อคูณ เป็นจำนวนมากหลวงพ่อคูณ เป็นพระชาวบ้านที่เข้าถึงมวลชนทุกระดับชั้น ตั้งแต่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน นักการเมืองไปจนถึงชาวบ้าน ด้วยท่านมีเมตตามหานิยม มีวิธีการสั่งสอนที่ตรงไปตรงมาง่ายแก่การเข้าใจ

ทั้งนี้อุโบสถของวัดสร้างยกพื้นสูงตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบสวยงาม ชั้นล่างเป็นศาลาขนาดใหญ่สำหรับพิธีการทำบุญต่างๆ ภายในวัดที่มีลูกศิษย์ลูกหามารวมกันเป็นจำนวนมาก มีพื้นที่อุทยานธรรม และภายหลังมีการสร้างวิหารเทพวิทยาคม (วิหารปริสุทปัญญา) เป็นวิหารขนาดใหญ่ทรงกลมกว้างประมาณ 60 เมตร กลางบึงขนาด 30 ไร่ ของวัด วิหารประดับด้วยกระเบื้องโมเสกจำนวนเกือบ 20 ล้านชิ้น โดยมีส่วนหลังคาเป็นรูปช้างเอราวัณพาหนะของพระอินทร์ มีขนาดใหญ่ ส่วนเศียรช้างมีน้ำหนักถึง 520 ตัน มีงาขนาดใหญ่หนักข้างละประมาณ 10 ตัน มีภาพจิตรกรรม และงานปูนปั้นประดับกระเบื้องโมเสก แฝงด้วยคติธรรมะ มีซุ้มโดยรอบ 4 ทิศ ได้แก่

ทิศตะวันตก พระพิรุณ
ทิศเหนือ พระกุเวร
ทิศตะวันออก พระอินทร์
ทิศใต้ พระยม

สิ่งที่น่าสนใจในวัดบ้านไร่ (หลวงพ่อคุณ) ได้แก่
วิหารเทพวิทยาคม
พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคุณ
อุโบสถกระเบื้องเคลือบ
ศาลาปริสุทธาร หรือ ศาลาน้ำมนต์
ศาลาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หรือศาลาปริสุทธรรม
อุทยานธรรม

วิหารเทพวิทยาคม   วัดบ้านไร่ อยู่ในอำเภอด่านขุนทด แต่ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองเสียทีเดียว มีเส้นทางหลักๆ เข้ามาที่วัดได้ 2 ทาง ทางแรกมาจากถนนมิตรภาพใกล้ๆ อำเภอสีคิ้ว มีทางแยกเข้ามาอำเภอด่านขุนทด ส่วนอีกทางมาจากแก้งค้อ บำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ปกติถ้ามาจากกรุงเทพฯ ใช้ถนนมิตรภาพเลี้ยวเข้าด่านขุนทดอาจจะไม่ได้เห็นมุมนี้ที่ผมเห็นระหว่างเดินทางเข้าวัด เราเห็นรูปช้างใหญ่ๆ สูงพ้นยอดไม้ขึ้นมาหันหน้าไปทางโบสถ์ ยังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่สิ่งนี้แหละที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศให้เดินทางมาที่วัดบ้านไร่ เดี๋ยวเข้าไปในวัดแล้วคงรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น

--Advertisement--

โบสถ์กระเบื้องเคลือบ   หลังจากที่เข้ามาในประตูวัด ก็เห็นแล้วแหละว่าช้างใหญ่ๆ นั้นน่าจะเป็นวิหารสร้างใหม่ ปกติคนมาถึงวัดก็คงตรงดิ่งไปที่นั่น แต่ระหว่างที่เดินจากลานจอดรถไปด้านหน้าของวิหารรูปช้าง เห็นโบสถ์หลังใหญ่ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบสวยงาม โบสถ์ยกพื้นสูงด้านล่างใช้เป็นศาลาขนาดใหญ่ แม้ว่าจะสร้างวิหารรูปช้างขึ้นมา โบสถ์ก็ยังคงความสวยสง่าไม่แพ้กัน ก็เลยเดินขึ้นมาที่โบสถ์ ไหว้พระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ค่อยไปชมวิหารเทพวิทยาคม กับพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ

วิหารเทพวิทยาคม   หรืออีกชื่อหนึ่งคือ วิหารปริสุทปัญญา วิหารรูปวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 เมตร มีลานรอบวิหารเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 60 เมตร สูง 40 เมตร ตั้งอยู่กลางบึงเนื้อที่ 30 ไร่ มองด้านข้างเหมือนเป็นรูปช้างยืน แต่พอได้มาเห็นใกล้ๆ จึงได้รู้ว่า เศียรช้างเป็นช้างเอราวัณพาหนะของพระอินทร์ที่ประจำซุ้มด้านตะวันออก แล้วยังมีอีก 3 ซุ้ม แล้วจะพาไปดูใกล้ๆ วิหารหลังนี้ชาวบ้านเรียกกันสั้นๆ ว่า วิหารเทพ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับศาลาน้ำมนต์ ปริสุทธาร กับศาลาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หรือศาลาปริสุทธรรม แล้วก็ยังมีอาคารพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ

วิหารแฝงไว้ด้วยคติธรรมอยู่ทุกจุด การจะเข้าไปชมวิหารจะมีไกด์พาไปชมพร้อมกับอธิบายคติธรรมต่างๆ ให้เป็นความรู้แก่นักท่องเที่ยว มีบัตรสมาร์ทการ์ดให้แลก ใช้การ์ดในการทำบุญตามจุดต่างๆ ในวิหาร ระบบจะหักยอดเงินในบัตรจุดละ 30 บาท เหลือเท่าไหร่ก็เอาการ์ดมาแลกเงินคืนตอนกลับ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไกด์จะพาเข้าชมเป็นกลุ่มๆ ถ้ามากันน้อยคนให้นั่งรอที่จุดที่จัดไว้ให้ เมื่อพร้อมแล้วไปยืนรวมกันที่ลานอธิษฐานหน้าพญานาค เป็นลานประดับด้วยกระเบื้องโมเสกลงอักขระเอาไว้ จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินที่มีพญานาคขนาบ 2 ข้าง

พญานาคทั้งสองเป็นพญานาค 19 เศียร รวมได้ 38 เศียร หมายถึง มงคลชีวิต 38 ประการ พญานาคด้านซ้ายสีฟ้า ส่วนด้านขวาสีแดง เปรียบกับอารมณ์ของคนเรามีสุข มีทุกข์ ความโกรธคือทุกข์แทนด้วยสีแดง พญานาคหน้าวิหารประดับด้วยกระเบื้องโมเสกตนละ 1 ล้านชิ้น รวมเป็น 2 ล้านชิ้นเข้าไปแล้ว รวมทั้งวิหารจึงใช้กระเบื้องในการตกแต่งถึง 20 ล้านชิ้นโดยประมาณ

วัตถุประสงค์ที่สร้างเพื่อให้วัดบ้านไร่ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมอีกแห่งหนึ่งของ จ.นครราชสีมา มีความตั้งใจกำหนดแล้ วเสร็จในปี 2556 ในโอกาสหลวงพ่อคูณฯ อายุ 90 ปี การก่อสร้างคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 240 ล้านบาท คณะกรรมการวัดบ้านไร่จึงได้มีดำริสร้างพระกริ่งเทพวิทยาคมและพระชัยวัฒน์เทพวิทยาคมขึ้น เพื่อเป็นการหาทุนการก่อสร้างในเบื่องต้น

พญานาค 7 เศียร   พญานาคกลางน้ำ สร้างตามคติว่าหลวงพ่อได้โยนแก้ว 7 สี ลงในบึงนี้ เกิดเป็นพญานาคตนนี้ขึ้นมา ตามคำบอกเล่าของลูกศิษย์และไกด์ สำหรับพญานาคตนนี้ประดับด้วยกระเบื้องโมเสก จำนวน 9 แสนชิ้นโดยประมาณ

การเดินทางตั้งอยู่ที่ตำบลกุดพิมาน จากตัวเมืองเดินทางตามถนนมิตรภาพ ถึงกิโลเมตรที่ 237 แยกขวาผ่านอำเภอขามทะเลสอและบ้านหนองสรวงไปจนถึงอำเภอด่านขุนทด ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร จากโรงพยาบาลด่านขุนทดใช้ทางหลวงหมายเลข 2217 เป็นระยะทางอีกประมาณ 11 กิโลเมตร

จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนมิตรภาพ ถึงแยกด่านขุนทด ทางหลวงหมายเลข 201 (สีคิ้ว – ชัยภูมิ) ถึงตัวเมืองด่านขุนทดมีทางแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2217 ซ้ายมือ ไปจนถึงทางแยกขวาเข้าซุ้มปะตุวัดบ้านไร่ตรงไปอีกไม่ไกลจะเห็นวัดอยู่ซ้ายมือ

--Advertisement--