อ่าน 2 นาที เพื่ออนาคตลูก 20 ปี…เมื่อพ่อแม่ กำลังอัดเงินใส่การศึกษาลูก “ตีค่าการศึกษาลูก” สูงเวอร์อย่างยิ่ง

--Advertisement--

วันนี้เราจะพาคุณผู้อ่านทุกท่านมาพบกับเรื่องราวที่ชวนให้คิดและสะท้อนถึงปัญหาของประเทศไทยของเราในด้านการเลี้ยงลูก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ จะเป็นอย่างไรนั้นไปติดตามกันเล๊ยยย…

==เมื่อพ่อแม่ชาวไทย กำลังอัดเงินใส่การศึกษาลูก==

พ่อแม่ชาวไทย รักและห่วงลูกไม่แพ้ชาติใดในโลก

พ่อแม่ที่มีกำลัง จะจัดเต็มลูกรัก ตั้งแต่แรกตั้งครรภ์ ฝากท้องอย่างดี คลอดอย่างดี หมออย่างดี

และเป็นพ่อแม่ที่ “ตีค่าการศึกษาลูก” สูงเวอร์อย่างยิ่ง

-> เด็ก 2 ขวบเพิ่งเดินแข็ง

เราก็ส่งเข้าเนอสเซอรี่ ปีละ 8 หมื่น กลัวลูกจะพัฒนาการช้าไม่ทันเพื่อน … กลายเป็นส่งลูกอายุน้อยเกินไปติดหวัดที่โรงเรียน เพราะเด็กยังไม่มีภูมิต้านทาน

-> อนุบาลยันประถม

เราจัดเต็ม ทั้งใน นอกหลักสูตร เด็กอนุบาล3 ต้องกวดวิชาสอบเข้าป.1 และเสริมด้วยวาดภาพ จินตคณิต ว่ายน้ำ ไวโอลิน อังกฤษ จีน ไทย เทควันโด้ อูคูเลเล่ ฯลฯ กลัวลูกจะเก่งไม่รอบด้าน กลัวจะน้อยหน้าเด็กข้างบ้าน ลูกเลิกเรียนเดินแทบไม่ตรงทาง (ผมว่า เรียนได้ แต่อย่าเยอะจัด จนเด็กร้องขอกลับบ้าน)

-> มัธยม อมเปรี้ยวอมหวาน

คราวนี้หนักเลย เรียนพิเศษตอนเย็นที่สยาม เสาร์อาทิตย์ จัดเต็มวัน พ่อแม่ยอมทรมานไปนอนบนทางเดินตึกอ.อุ๊ ตึกสยามกิตติ์ เพื่อส่งข้าวส่งน้ำลูกรัก ปิดเทอมไม่มีพัก ส่งลูกเรียนซัมเมอร์ยุโรป ออสเตรลีย บางทีเด็กไม่อยากไป พ่อแม่นี่แหละดันก้นให้ไป

บางบ้านหมดเงินกับลูกปีละ 6-7 แสน ยังไม่ทันเข้ามหาลัยกดไปเป็นสิบล้าน!!!

พอลูกเรียนจบ บางคนไปคาดหวังว่า ลูกฉันเลี้ยงมาอย่างพิเศษใส่ไข่ เพิ่มข้าว

ดังนั้นจะจ้างลูกฉัน มันต้องแพงกว่าสิ …นี่ส่งเรียนไปสิบกว่าล้านนะ

“ปัญหาคือ คุณค่าของใบปริญญา … พ่อแม่ กับ นายจ้าง มองไม่เท่ากัน”

พ่อแม่ชาวไทย ตีค่าใบปริญญาลูกรักสูงมาก เพราะเราอยู่ในกระบวนการจ่ายเงินจริง มาอย่างยากลำบาก ยาวนาน 20 ปี

นายจ้าง กลับตีค่าไม่สูงเท่า

คำถามใหญ่ของเขามี 3 คำถาม คือ

1. ลูกคุณทำอะไรเป็นบ้าง

2. ลูกคุณเคยทำอะไรสำเร็จมาบ้าง และ

3. ลูกคุณจะมาสร้างความสำเร็จอะไรให้ที่นี่

--Advertisement--

อย่าลืมว่า ยุคนี้คือ ตลาดแรงงานที่เปิดกว้าง 

-> เด็กอินเดีย ปากี พร้อมจะบินมาทำงานที่กรุงเทพ เขียนโค้ด เขียนโปรแกรม อังกฤษเป็นไฟ แถมขยันขันแข็ง

-> เด็กฟิลิปปินส์ อินโด มาเลย์ พร้อมจะบินมาทำงานที่กรุงเทพ พวกเขาภาษาดีมาก ลอจิกดี คุมโปรเจคต์ พรีเซนต์ดีไม่แพ้ฝรั่ง

-> เด็กจีน …ไม่ต้องพูดถึง ความขยันอ่าน ขยันขายของ ขยันพบลูกค้า ใจสู้ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ โดนด่าไม่ยุบ พวกนี้คือยอดเซลล์แมน

ปริญญา มหาลัย คณะ … มันเริ่มจะเบลอๆ ไม่ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนรุ่นพ่อแม่เมื่อเด็กไทยต้องสอบสัมภาษณ์กับ Head Hunter สิงคโปร์ โดยมีนายจ้างเป็นฝรั่ง จีน อินเดีย

แน่นอนว่าย่อมมีเด็กไทยบางคน ได้ไปต่อเจริญรุ่งเรืองโกอินเตอร์…แต่ก็มีจำนวนมากที่แป้กตั้งแต่อายุยังน้อย

-> เมื่ออาชีพการงานเดิมๆกำลังหดตัว..จาก Disruptive Technology

-> เมื่อองค์กรกำลังปรับตัวให้ลีน(Lean)บาง ให้คล่องตัวมีประสิทธิภาพด้วยดิจิตอล …Digital Transformation

-> เมื่องานดีเงินดี กำลังเต็มไปด้วยการแข่งขันที่สูงลิ่ว ด้วยตลาดเคลื่อนย้ายเสรีแรงงานเสรี… Globalizaion

พ่อแม่จะใช้ชุดความคิดเดิม แบบสมัยรุ่นตัวเองเพิ่งเรียนจบ ก็คงไม่ได้

คหสต. (ความคิดเห็นส่วนตัว)

ถ้าพ่อแม่ชาวไทย(ส่วนหนึ่ง)ที่ลงทุนกับการศึกษาลูกด้วยเงินจำนวนมากๆ และแนวโน้มมีแต่จะรุนแรงขึ้น

เราจะลองประหยัดเงินบางส่วน แล้วใช้เงินก้อนเดียวกันนี้ เตรียมให้ลูกไว้ เริ่มทำธุรกิจ ได้ใช้ความพยายามลองผิดลองถูก ริเริ่ม สร้างสรร เป็นผู้ประกอบการ ในยุคสมัยที่อาชีพการงานไม่เป็นใจในอีก 10-15 ปีข้างหน้า

เราจะลอง เผื่อเวลา จากการศึกษาที่จัดเต็ม(เกิน)ไป ให้เขาได้ลองเรียนรู้ ริเริ่ม ลองเขียนหนังสือ ลองเขียนโปรแกรมสร้างแอพ ลอง design ลองรับงานแปล ลองขายของ ลองลงทุน ฯลฯ

ลองหาเงินด้วยตัวเองให้ได้ ก่อนที่เขาจะจบมหาลัย อันนี้ ช่วยเขาได้ ไม่แพ้การศึกษาในระบบที่แสนแพง พ่อแม่ได้ภูมิใจลูกได้ภูมิต้านทานและความแกร่ง

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก https://auinews.com/2761

--Advertisement--